1.2 แกง ลักษณะทั่วไปคล้ายอ่อม กล่าวคือเป็นการปรุงอาหารให้สุกโดยใช้น้ำเป็นองค์ประกอบหลัก มีการใช้เครื่องเทศของทางอีสานและที่จะขาดเสียไม่ได้คือใบแมงลักหรือ “ผักอีตู่” วิธีการปรุงก็เหมือนแกงของภาคกลางทั่วไป แต่ใช้น้ำปลาแดกเป็นตัวปรุงรส
1.3 ต้ม เป็นแกงอย่างหนึ่งของภาคอีสาน ใช้เกลือและน้ำปลาแทนน้ำปลาแดก ต้มจะเน้นเฉพาะอาหารที่สดๆ ที่ได้จากสัตว์ต่าง ๆ ไม่นิยมตัดหรือหั่นอาหารให้เป็นชิ้นหรือถ้าหั่นก็เป็นชิ้นโตๆ รสชาติจะออกเค็มและเปรี้ยวจัด ซึ่งได้จากพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น ใบมะขามอ่อน ผักติ้ว ยอดกระเจี๊ยบ และมดแดง เป็นต้น
อาหารประเภทต้ม มักจะปรุงกันที่บริเวณไร่นาหรือแหล่งที่ได้อาหารนั้นมาใหม่ ๆ เช่น ลงปลา ที่สระกันทั้งหมู่บ้านก็จะต้มกินกันที่นั่นเลย ข้อที่สังเกตระหว่างแกงกับต้มก็คือ แกงจะใส่ใบแมงลัก น้ำปลาแดกและมีรสเค็ม ในขณะที่ต้มจะไม่ใส่เครื่องปรุงประเภทนี้ แต่จะเน้นไปทางรสเปรี้ยวและไม่นิยมเติมพริกหรือเนื้อสัตว์ที่นิยมนำมาทำต้ม ได้แก่ ปลาประเภทต่าง ๆ งู (โดยเฉพาะงูสิงห์) ไก่ เป็น เป็นต้น
แหล่งที่มา
1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188
1.3 ต้ม เป็นแกงอย่างหนึ่งของภาคอีสาน ใช้เกลือและน้ำปลาแทนน้ำปลาแดก ต้มจะเน้นเฉพาะอาหารที่สดๆ ที่ได้จากสัตว์ต่าง ๆ ไม่นิยมตัดหรือหั่นอาหารให้เป็นชิ้นหรือถ้าหั่นก็เป็นชิ้นโตๆ รสชาติจะออกเค็มและเปรี้ยวจัด ซึ่งได้จากพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น ใบมะขามอ่อน ผักติ้ว ยอดกระเจี๊ยบ และมดแดง เป็นต้น
อาหารประเภทต้ม มักจะปรุงกันที่บริเวณไร่นาหรือแหล่งที่ได้อาหารนั้นมาใหม่ ๆ เช่น ลงปลา ที่สระกันทั้งหมู่บ้านก็จะต้มกินกันที่นั่นเลย ข้อที่สังเกตระหว่างแกงกับต้มก็คือ แกงจะใส่ใบแมงลัก น้ำปลาแดกและมีรสเค็ม ในขณะที่ต้มจะไม่ใส่เครื่องปรุงประเภทนี้ แต่จะเน้นไปทางรสเปรี้ยวและไม่นิยมเติมพริกหรือเนื้อสัตว์ที่นิยมนำมาทำต้ม ได้แก่ ปลาประเภทต่าง ๆ งู (โดยเฉพาะงูสิงห์) ไก่ เป็น เป็นต้น
แหล่งที่มา
1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น