tag:blogger.com,1999:blog-61265900571618001572024-03-12T21:32:46.325-07:00freedomefreedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.comBlogger68125tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-14026935081073522322010-02-03T04:40:00.001-08:002010-03-04T21:16:10.912-08:00ข้อมูลงานอดิเรก<br/><a href="http://glitter.postjung.com/?gx=2010030512%2F1e9r2q4.gif" target="_blank" title="คลิ๊ก..สร้าง Glitter ด้วยตัวคุณเอง"><img border="0" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010030512/1e9r2q4.gif" alt="งานอดิเรก - ดูหนัง - ฟังเพลง - ปลูกต้น - วาดภาพ - เล่นอินเตอร์เน็ต"/><br/>สร้างกริตเตอร์</a> | <a href="http://music.postjung.com">ฟังเพลง</a> | <a href="http://star.postjung.com">ดารา</a> | <a href="http://game.postjung.com">เกมส์</a>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-81028789297432150022010-02-03T04:28:00.000-08:002010-03-04T21:11:03.223-08:00ข้อมูลการศึกษา<br/><a href="http://glitter.postjung.com/?gx=2010030512%2Fv293n0.gif" target="_blank" title="คลิ๊ก..สร้าง Glitter ด้วยตัวคุณเอง"><img border="0" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010030512/v293n0.gif" alt="การศึกษา ประถมจาก ร.ร.บ้านนาเพียง มัธยมต้น ร.ร.จตุรมิตรวิทยาคาร มัธยมปลาย ร.ร.ชุมแพศึกษา ปัจจุบันเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สาขาบริหารรัฐกิจและกิจการสาธารณะ"/><br/>สร้างกริตเตอร์</a> | <a href="http://music.postjung.com">ฟังเพลง</a> | <a href="http://star.postjung.com">ดารา</a> | <a href="http://game.postjung.com">เกมส์</a>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-18598985058204385292010-02-03T03:53:00.000-08:002010-03-04T21:05:23.604-08:00ข้อมูลส่วนตัว<embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" flashvars="host=picasaweb.google.com&captions=1&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fanirut1921%2Falbumid%2F5404710200414276065%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"></embed><br /><br/><a href="http://glitter.postjung.com/?gx=2010030512%2Fci14ml.gif" target="_blank" title="คลิ๊ก..สร้าง Glitter ด้วยตัวคุณเอง"><img border="0" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010030512/ci14ml.gif" alt="ชื่อ นายอนิรุทธ เพชรประไพ ชื่อเล่น เอ้ เกิด 19 กรกฎาคม 2531 ที่อยู่ 71 ม.4 ต.นาเพียง อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น 40130 มีพี่น้องร่วมกัน 2คน เป็นคนที่ 2 mail.feeno_t-loan-feedome@hotmail.com"/><br/>สร้างกริตเตอร์</a> | <a href="http://music.postjung.com">ฟังเพลง</a> | <a href="http://star.postjung.com">ดารา</a> | <a href="http://game.postjung.com">เกมส์</a>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-70605370187761147442010-01-25T07:53:00.000-08:002010-02-02T08:35:15.060-08:00E-commerce<a href="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%20web/image/e-commerce.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 270px; CURSOR: hand; HEIGHT: 210px" alt="" src="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%20web/image/e-commerce.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-size:180%;"><strong><span style="color:#ff6600;">ข้อดีของการใช้ E - Commerce</span></strong><br /></span>-การซื้อขายสินค้าแบบ Online สามารถตัดปัญหายุ่งยากในเรื่องของการต่อรองราคาและตัดปัญหาเกี่ยวกับนายหน้า เพราะมีเพียงแค่รหัสบัตรเครดิตที่เปิดบัญชีกับธนาคาร ท่านก็สามารถซื้อสินค้าผ่าน Internet ได้<br /></div><br /><div>-ข้อมูลของลูกค้าจะถูกเก็บไว้ใน E-Mailบุคคลอื่นไม่สามารถเปิดอ่านได้นอกจากผู้จัดจำหน่ายเท่านั้น<br /></div><br /><div>-เพิ่มมูลค่าและปริมาณทางการค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ ลดต้นทุน และเปิดโอกาสให้ผู้ขายขนาดกลางและขนาดเล็ก มีโอกาสเข้าสู่ตลาดได้มากขึ้นขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีทางเลือกมากขึ้นด้วย<br /></div><br /><div>-ผู้ซื้อสามารถค้นหาข้อมูลหรือข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่างๆทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงร้านค้า หรือผ่านพ่อค้าคนกลาง<br /></div><br /><div>-ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการกับผู้ซื้อรายอื่น หรือมีโอกาสสัมผัสกับสินค้าหรือบริการก่อนการตัดสินใจซื้อ เช่น ฟังตัวอย่างเพลง อ่านเรื่องย่อของหนังสือ หรือชมบางส่วนของVDO ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ทำให้ผู้ซื้อมีข้อมูลในการตัดสินใจเพิ่มมากขึ้น ในกรณีที่เป็นการสั่งซื้อแบบDigital Form จะสามารถส่งข้อมูลผ่าน Internet ได้ทันที<br /></div><br /><div>-ผู้ขายสามารถโฆษณาขายสินค้าหรือบริการไปยังลูกค้าทั่วโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา การจัดตั้งร้านค้า การจัดตกแต่งสถานที่ ค่าใช้จ่ายการจัดเก็บสินค้าการกระจายสินค้า และยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆได้อีกด้วย </div><br /><div><br /><strong><span style="color:#ff6600;"><span style="font-size:180%;">ข้อจำกัดในการใช้ E-Commerce</span><br /></span></strong>-ความไม่ปลอดภัยของข้อมูล ขาดการตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตบน Internet ข้อมูลบนบัตรเครดิตอาจถูกดักฟังหรืออ่าน เพื่อเอาชื่อและหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้โดยที่เจ้าของบัตรเครดิตไม่รู้ได้การส่งข้อมูลจึงต้องมรการพัฒนาวิธีการเข้ารหัสที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนเพื่อให้ข้อมูลของลูกค้าได้รับความปลอดภัยสูงสุด<br /></div><br /><div>-ประเทศไทยยังไม่มีธนาคารพาณิชย์ที่จะทำหน้าที่รับประกันความเสี่ยงสำหรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบันการชำระเงินยังต้องผ่านธนาคารที่เป็นของต่างประเทศ<br /></div><br /><div>-ปัญหาความยากจน ความด้อยโอกาสและขาดความรู้ทางเทคโนโลยี รวมทั้งขาดเครือข่ายการสื่อสาร เช่น ระบบเคเบิล ระบบโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึงจึงทำให้ชนบทที่ห่างไกลไม่สามารถเข้าถึงและใช้บริการ Internet ได้<br /></div><br /><div>-E-Commerce ยังมีประเด็นเชิงนโยบายที่ทำให้รัฐบาลต้องเข้ามากำหนดมาตรการ เพื่อให้ความคุ้มครองกับผู้ซื้อและผู้ขาย ขณะเดียวกันมาตรการมนเรื่องระเบียบที่จะกำหนดขึ้นต้องไม่ขัดขวางการพัฒนาเทคโนโลยี<br /></div><br /><div>-ผู้ซื้อไม่มั่นใจเรื่องการเก็บรักษาความลับทางธุรกิจ ข้อมูลส่วนบุคคลเช่นไม่มั่นใจว่าจะมีผู้นำหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้ประโยชน์ในทางที่มิชอบหรือไม่<br /></div><br /><div>-ผู้ขายไม่มั่นใจว่าลูกค้ามีตัวตนอยู่จริง จะเป็นบุคคลเดี่ยวกับที่แจ้งสั่งซื้อสินค้าหรือไม่ มีความสามารถ ในการที่จะจ่ายสินค้าและบริการหรือไม่ และไม่มั่นใจว่าการทำสัญญาซื้อขายผ่านระบบ Internet จะมีผลถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่<br /></div><br /><div>-ด้านรัฐบาล ในกรณีที่ผู้ซื้อและผู้ขายอยู่คนละประเทศกันจะใช้กฎหมายของประเทศใดเป็นหลักหากมีการกระทำผิดกฎหมายในการการกระทำการซื้อขายลักษณะนี้ ความยากลำบากในการติดตามการซื้อขายทาง Internet อาจทำให้รัฐบาลประสบปัญหาในการเรียกเก็บภาษี เงินได้และภาษีศุลกากร การที่ E-Commerce ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ พฤติกรรมของผู้บริโภค และการปฏิบัติงานของภาครัฐบาล ทำให้รัฐบาลอาจเข้ามากำหนดมาตรการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ขายที่ใช้บริการ E-Commerce รวมทั้งให้ความสนใจในการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาปัจจัยที่จะเพิ่มความสะดวกทางด้านโทรคมนาคมสื่อสาร<br /></div><br /><div>-ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถทำสำเนาหรือดัดแปลงหรือสร้างขึ้นใหม่ได้ง่ายกว่าเอกสารที่เป็นกระดาษ จึงต้องจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยในการอ้างสิทธิให้ดีพอ<br /></div><br /><div>-E-Commerce ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับการจัดการทางธุรกิจที่ดีด้วยการนำระบบนี้มาใช้จึงไม่สมควรทำตามกระแสนิยม เพราะถ้าลงทุนไปแล้วไม่สามารถให้บริการที่ดีกับลูกค้าได้ ย่อมเกิดผลเสียต่อบริษัท<br /></div><br /><div>-ปัญหาที่เกิดกับงานด้านกฎหมายและลายเซ็นประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่จะกำกับดูแลการทำนิติกรรม การทำการซื้อขายผ่านทางการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ </div><br /><div><br /><strong><span style="font-size:180%;color:#ff6600;">ประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)</span></strong><br />ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางการค้าที่น่าสนใจมาก เพราะนับวันก็ยิ่งมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งส่งผลให้การค้าทางอินเตอร์เน็ตขยายตัวได้อย่าง รวดเร็วและการทำธุรกิจบนเว็บไซต์นั้นสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้มากมายหลายประการ ได้แก่ </div><br /><div>1. ทำการค้าได้ตลอด 24 ชั่งโมง และขายสินค้าได้ทั่วโลก นักท่องอินเตอร์เน็ตจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้ามาในเว็บไซต์ของบริษัทได้ตลอดเวลาผู้ขายสามารถนำเสนอสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆได้อย่างรวดเร็ว โดยคำสั่งซื้ออาจเกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมงและมาจากที่ต่างๆกัน </div><br /><div>2. ข้อมูลทันสมัยอยู่เสมอ และประหยัดค่าใช้จ่าย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นั้นมีประโยชน์ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง คือสามารถ เสนอข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดให้กับลูกค้าได้ทันทีซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์เอกสาร และประหยัดเวลาในการประชาสัมพันธ์ </div><br /><div>3. ทำงานแทนพนักงานขาย และเพิ่มประสิทธิภาพการขาย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถทำงานแทนพนักงานขายของคุณได้ โดยสามารถทำการค้าในรูปแบบอัตโนมัติ และดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการทางธุรกิจภายในองค์กรนั้นๆ </div><br /><div>4. แทนหน้าร้าน หรือบูทแสดงสินค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถแสดงสินค้าที่มีอยู่ให้กับลูกค้าทั่วโลกได้มองเห็นสินค้าของคุณ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตกแต่งหน้าร้าน หรือในการเดินทางออกไปในบูทแสดงสินค้าในที่ต่างๆ </div><br /><div>5. เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยในการทำให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น การแสดงสินค้าโดยผู้ชมสามารถดูสินค้าได้ 180 องศาหรือลูกค้าสามารถอ่านหัวข้อของหนังสือที่ต้องการซื้อก่อนได้ </div><br /><div>6. ง่ายต่อการชำระเงิน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถชำระเงินได้อย่างสะดวกสบายโดยวิธีการตัดผ่านบัตรเครดิตหรือการโอนเงินเข้าบัญชีซึ่งจะเป็นระบบอัตโนมัติ </div><br /><div>7. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในโลกพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บริษัทขนาดเล็กสามารถมีโอกาสทางธุรกิจเทียบได้กับบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆอย่าง เป็นต้นว่า ชื่อ URL ของบริษัทควรจะจำง่าย การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามและปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ การสั่งซื้อและการชำระเงินมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เป็นต้น </div><br /><div>8. สร้างความประทับใจและพึงพอใจได้มากกว่าปัจจุบันการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตทำได้อย่างง่ายดาย สินค้าและบริการมีให้เลือกมากมายทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง และเสียเวลาไปกับการค้นหาสินค้าและบริการที่ต้องการ ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วที่สุด เช่นถ้าลูกค้าต้องการซื้อของตกแต่งบ้านจากเว็บไซต์ Bangpa-in.com ลูกค้าสามารถจะค้นหาสินค้าจากประเภทของสินค้า หรือค้นหาตามรูปแบบที่ต้องการได้ ในกรณีที่ลูกค้าสั่งสินค้าและได้ให้รายละเอียดส่วนตัวไว้ ร้านค้าสามารถ บันทึก รายละเอียดของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูลของเราเพื่อความสะดวกของลูกค้าในการสั่งซื้อสินค้าครั้งต่อไป (Member System) </div><br /><div>9. รู้และแก้ปัญหาต่างๆได้ทันท่วงที พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถให้บริการหลังการขายได้เช่นกันโดยใช้ประโยชน์จากอีเมล์ในการติดต่อลูกค้า การสร้างแบบสอบถามลูกค้าเพื่อสอบถามความพึงพอใจต่อสินค้าและบริการทำให้ร้านค้าสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและทันท่วงที</div><div> </div><div><strong><span style="font-family:arial;color:#cc9933;">แหล่งที่มา</span></strong></div><div><span style="color:#000000;">1.</span><a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%2520web/image/pd1113806484_0.gif&imgrefurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/&usg=__Tlp7B8vSiZufPuOd9E4EEnBKU1U=&h=479&w=481&sz=47&hl=th&start=1&sig2=otq1JndvL71IYpBPt9-Hsw&um=1&tbnid=58bOxoRGKPiEvM:&tbnh=128&tbnw=129&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C%26hl%3Dth%26um%3D1&ei=l7NdS56aCc-TkAWW-7GSAw"><span style="color:#000000;">http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%2520web/image/pd1113806484_0.gif&imgrefurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/&usg=__Tlp7B8vSiZufPuOd9E4EEnBKU1U=&h=479&w=481&sz=47&hl=th&start=1&sig2=otq1JndvL71IYpBPt9-Hsw&um=1&tbnid=58bOxoRGKPiEvM:&tbnh=128&tbnw=129&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C%26hl%3Dth%26um%3D1&ei=l7NdS56aCc-TkAWW-7GSAw</span></a></div><br /><div></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-15169491634062888822010-01-25T07:08:00.000-08:002010-01-25T07:49:18.572-08:00E-commerce<a href="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%20web/image/pd1113806484_0.gif"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 481px; CURSOR: hand; HEIGHT: 479px" alt="" src="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%20web/image/pd1113806484_0.gif" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#666600;"><strong>ประเภทของอีคอมเมิร์ซ<br /></strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">มีการแบ่งประเภทอีคอมเมิร์ซกันหลายแบบ เช่น แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วน และแบ่ง อีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าเป็น 2 ประเภท เป็นต้นอีคอมเมิร์ซ 5 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภทก็ได้ดังต่อไปนี้ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(1) <strong>ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีกหรือบีทูซี</strong> (B-to-C = Business-to-Consumer) คือประเภทที่ผู้ซื้อปลีกใช้อินเตอร์เน็ตในการซื้อสินค้าจากธุรกิจที่โฆษณาอยู่ในอินเตอร์เน็ต </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(2) <strong>ธุรกิจกับธุรกิจหรือบีทูบี</strong> (B-to-B = Business-to-Business) คือ ประเภท ที่ธุรกิจกับธุรกิจติดต่อซื้อขายสินค้ากันผ่านอินเตอร์เน็ต </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(3) <strong>ธุรกิจกับรัฐบาลหรือบีทูจี</strong> (B-to-G = Business-to-Government) คือประเภทที่ธุรกิจติดต่อกับหน่วยราชการ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(4) <strong>รัฐบาลกับรัฐบาลหรือจีทูจี</strong> (G-to-G = Government to Government) คือ ประเภทที่หน่วยงานรัฐบาลหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลอีกหน่วยงานหนึ่ง </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(5) <strong>ผู้บริโภคกับผู้บริโภคหรือซีทูซี</strong> (C-to-C = Consumer-to-Consumer)คือ ประเภทที่ผู้บริโภคประกาศขายสินค้าแล้วผู้บริโภคอีกรายหนึ่งก็ซื้อไป เช่น ที่อีเบย์ดอทคอม (Ebay.com) เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินให้กันทางบัตรเครดิตได้ อีคอมเมิร์ซ 3 ประเภท ถ้าจะแบ่งอี<strong>คอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภทก็อาจจะแบ่งได้</strong> ดังต่อไปนี้ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(1) <strong>อีคอมเมิร์ซระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ หรือ บีทูซี</strong> (B-to-C = Business-to-Consumer) ซึ่งอาจจะมีตัวอย่างดังต่อไปนี้ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอคอนเฟอเร็นซ์ กลุ่มสนทนา กระดานข่าว เป็นต้น </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การจัดการด้านการเงิน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว เช่น ฝาก-ถอน เงินกับธนาคารซื้อขายหุ้นกับผู้ค้าหุ้น เช่น อีเทรด (www.etrade.com) เป็นต้น </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- ซื้อขายสินค้าและข้อมูล ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้าและข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้โดยสะดวก </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(2) <strong>อีคอมเมิร์ซภายในองค์กรหรือแบบอินทราออร์ก</strong> (Intra-Org E-commerce) คือการใช้อีคอมเมิร์ซในการช่วยให้บริษัทหรือองค์ใดองค์กรหนึ่งสามารถปรับปรุงการทำงานภายในและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรจะสะดวกรวดเร็วจะได้ผลดีขึ้น โดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ และป้ายประกาศ เป็นต้น </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การจัดพิมพ์เอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีพับลิซซิง (Electronic Publishing) ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบเอกสารจัดพิมพ์เอกสาร และแจกจ่ายเอกสารได้สะดวกรวดเร็ว และใช้ค่าใช้จ่ายน้อย ไม่ว่าจะเป็นคู่มือข้อกำหนดสินค้า (Product Specifications) รายงานการประชุม เป็นต้น ทั้งนี้โดยผ่านเว็บ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงานขายการใช้อีคอมเมิร์ซแบบนี้ช่วยปรับปรุงการสื่อสารระหว่างฝ่ายผลิตกับฝ่ายขาย และระหว่างฝ่ายขายกับลูกค้า ทำให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(3) <strong>อีคอมเมิร์ซระหว่างองค์กรหรือแบบอินเตอร์ออร์ก</strong> (Inter-Org E-commerce)ซึ่งก็คือแบบเดียวกับแบบที่เรียกว่าบีทูบี (Business to Business) ทั้งนี้โดยมีตัวอย่างต่อไปนี้ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การจัดซื้อ ช่วยให้จัดซื้อได้ดีขึ้น ทั้งด้านราคา และระยะเวลาการส่งของ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การจัดการสินค้าคงคลัง </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การจัดส่งสินค้า </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การจัดการช่องทางขายสินค้า </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- การจัดการด้านการเงิน</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong>อีคอมเมิร์ซ 6 ส่วน</strong> ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วนก็แบ่งได้ดังต่อไปนี้ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(1) <strong>การขายปลีกทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเทลลิ่ง</strong> (E-tailing= Electronic Retailing)หรือร้านค้าเสมือนจริง (Virtual Storefront) ยอดขายปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกาใน ค.ศ. 1999มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(2) <strong>การวิจัยตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือมาร์เก็ตอีรีเซิร์ช</strong> (Market E-research) คือการใช้อินเตอร์เนตในการวิจัยตลาดแบบเดียวกับที่สำนักวิจัยเอแบค-เคเอสซีอินเตอร์เน็ตทำอยู่ จากการใช้อินเตอร์เน็ตนี้ บริษัทห้างร้านสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าปัจจุบัน และผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้าในอนาคตทั้งจากการลงทะเบียนเข้าใช้ เว็บ จากแบบสอบถามและจากการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้า การวิจัยตลาดอินเตอร์เน็ตก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(3) <strong>อินเตอร์เน็ตอีดีไอ</strong> หรือการส่งเอกสารตามมาตรฐานอีดีไอโดยใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำลงก็ถือว่าเป็นอีคอมเมิร์ซประเภทหนึ่ง </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(4) <strong>โทรสารและโทรศัพท์อินเตอร์เน็ต</strong> การใช้โทรสารและโทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ตหรือ วีโอไอพ ี (VoIP= Voice over IP) นั้นมีราคาต่ำกว่าการใช้โทรสารและโทรศัพท์ธรรมดา และอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(5) <strong>การซื้อขายระหว่างบริษัทกับบริษัท</strong> บริษัทต่างๆ จำนวนมากในปัจจุบันติดต่อซื้อขายสินค้ากันโดยผ่านเว็บในอินเตอร์เน็ต ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(6) <strong>ระบบความปลอดภัยในอีคอมเมิร์ซ</strong>ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของอีคอมเมิร์ซทั้งนี้ในปัจจุบันมีการใช้วิธีต่างๆ เช่น เอสเอสแอล (SSL= Secure Socket Layer) เซ็ต (SET = Secure ElectronicTransaction) อาร์เอสเอ (RSA = Rivets, Shamir and Adelman) ดีอีเอส (DES= Data EncryptionStandard) และดีอีเอสสามชั้น (Triple DES) เป็นต้น </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong>อีคอมเมิร์ซ 2 ประเภท</strong> สินค้า ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าก็แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(1) <strong>สินค้าดิจิตอล</strong> เช่น ซอฟท์แวร์ เพลง วิดีโอ หนังสือ ดิจิตอล เป็นต้นซึ่งสามารถส่งสินค้าได้โดยผ่านอินเตอร์เน็ต </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">(2) <strong>สินค้าที่ไม่ใช่ดิจิตอล</strong> เช่น สินค้าหัตถกรรม สินค้าศิลปะชีพ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังเครื่องประดับเครื่องจักรอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งต้องส่งสินค้าทางพัสดุภัณฑ์ ผ่านไปรษณีย์หรือบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์</span><br /><span style="font-family:Arial;font-size:130%;"></span><br /><span style="font-family:Arial;font-size:130%;color:#cc9933;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br /><span style="font-family:Arial;font-size:130%;color:#000000;">1.<a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%2520web/image/pd1113806484_0.gif&imgrefurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/&usg=__Tlp7B8vSiZufPuOd9E4EEnBKU1U=&h=479&w=481&sz=47&hl=th&start=1&sig2=otq1JndvL71IYpBPt9-Hsw&um=1&tbnid=58bOxoRGKPiEvM:&tbnh=128&tbnw=129&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C%26hl%3Dth%26um%3D1&ei=l7NdS56aCc-TkAWW-7GSAw"><span style="font-size:85%;color:#000000;">http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%2520web/image/pd1113806484_0.gif&imgrefurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/&usg=__Tlp7B8vSiZufPuOd9E4EEnBKU1U=&h=479&w=481&sz=47&hl=th&start=1&sig2=otq1JndvL71IYpBPt9-Hsw&um=1&tbnid=58bOxoRGKPiEvM:&tbnh=128&tbnw=129&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C%26hl%3Dth%26um%3D1&ei=l7NdS56aCc-TkAWW-7GSAw</span></a></span></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-77538089620809566932010-01-24T23:03:00.000-08:002010-01-24T23:25:31.754-08:00E-commerce<a href="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%20web/image/e-commerce.jpg"></a><br /><div><a href="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%20web/image/112[1].jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 350px; CURSOR: hand; HEIGHT: 350px" alt="" src="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce%20web/image/112[1].jpg" border="0" /></a><br /><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:130%;"><span style="color:#990000;">ความเป็นมา</span></span></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;">พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) หรืออีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) เริ่มขึ้นเมื่อประมาณต้นทศวรรษที่ 1970 โดยเริ่มจากการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงาย และในช่วงเริ่มต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น บริษัทเล็กๆ มีจำนวนไม่มากนัก ต่อมาเมื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange-EDI) ได้แพร่หลายขึ้นประกอบกับคอมพิวเตอร์พีซีได้มีการขยายเพิ่มอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพัฒนาด้านอินเทอร์เน็ตและเว็บทำให้หน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ได้ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ในปัจจุบันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ครอบคลุมธุรกรรมหลายประเภท เช่น การโฆษณา การซื้อขายสินค้า การซื้อหุ้น การทำงาน การประมูลและการให้บริการลูกค้า</span></p><br /><br /><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:130%;color:#ff6600;">ความหมายของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์</span></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;">พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรมทุกรูปแบบโดยครอบคลุมถึงการซื้อขายสินค้า/บริการ การชำระเงิน การโฆษณาโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะเครือข่ายทางอินเทอร์เน็ต กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การดำเนินธุรกิจทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการผ่าน และระบบสื่อสารโทรคมนาคมหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ องค์กรการค้าโลก ให้คำจำกัดความไว้ว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การผลิตการกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />E-Commerce คืออะไร<br /><br />Electronic Commerce หรือ E-Commerce คือ การซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยส่งข้อมูลด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่าย เช่น Internet ถ้าผู้ใช้มีเครื่องคอมพิวเตอร์ คู่สายโทรศัพท์ โมเด็ม และเป็นสมาชิกของบริการ Internet ก็สามารถทำการค้าผ่านระบบเครือข่ายได้ E-Commerce เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี Internet กับการจำหน่ายสินค้าและบริการ โดยสามารถนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าหรือบริการผ่านทาง Internet สู่คนทั่วโลกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำให้การดำเนินการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดรายได้ในระยะเวลาอันสั้น </span></p><p><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffcc33;">ความสำคัญของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์</span></span></span></p><p><span style="font-family:arial;">เนื่องมาจากอัตราการเติบโตของการใช้อินเตอร์เน็ตและการเพิ่มขึ้นของเว็บไซต์ทางธุรกิจที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้การประกอบธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางการตลาดขนาดใหญ่ของโลกไร้พรมแดนที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้โดยตรงอย่างรวดเร็ว ไร้ขีดจำกัดของเรื่องเวลาและสถานที่ การแข่งขันทางการค้าเสรีและระหว่างประเทศที่ต้องแข่งขันและชิงความได้เปรียบกันที่“ความเร็ว”ทั้งการนำเสนอสินค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการประกอบธุรกิจในปัจจุบันและได้รับความนิยมเพิ่มการแข่งขันเป็นลำดับ </p></span><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:130%;color:#990000;">กรอบแนวคิดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์</span></strong> </span></p><p><span style="font-family:arial;">กรอบแนวคิดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วย 4 ส่วนใหญ่ ๆ คือ • แอพพลิเคชั่นของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ • ปัจจัยทางการบริหาร • โครงสร้างพื้นฐาน• ประเภทสินค้าของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าที่ซื้อขายในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จำแนกได้ดังนี้ - สินค้าที่มีลักษณะเป็นข้อมูลดิจิทัล (Digital Products) - สินค้าที่ไม่ใช่ข้อมูลดิจิทัล (Non-Digital Products) </span></p><p><span style="font-family:Arial;color:#009900;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></p><p><span style="font-family:Arial;"><span style="color:#000000;">1.</span><a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce2520web/image/pd1113806484_0.gif&imgrefurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/&usg=__Tlp7B8vSiZufPuOd9E4EEnBKU1U=&h=479&w=481&sz=47&hl=th&start=1&sig2=6LrLe3UytRmINO3VgEOWrA&um=1&tbnid=58bOxoRGKPiEvM:&tbnh=128&tbnw=129&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C%26hl%3Dth%26rlz%3D1W1ADBF_en%26sa%3DN%26um%3D1&ei=-0JdS7vKBYr66QOYp6wD"><span style="color:#000000;">http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/E-commerce2520web/image/pd1113806484_0.gif&imgrefurl=http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g18/&usg=__Tlp7B8vSiZufPuOd9E4EEnBKU1U=&h=479&w=481&sz=47&hl=th&start=1&sig2=6LrLe3UytRmINO3VgEOWrA&um=1&tbnid=58bOxoRGKPiEvM:&tbnh=128&tbnw=129&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C%26hl%3Dth%26rlz%3D1W1ADBF_en%26sa%3DN%26um%3D1&ei=-0JdS7vKBYr66QOYp6wD</span></a></span></p></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-12572786277113210072010-01-22T02:08:00.000-08:002010-01-22T02:24:10.581-08:00วันครูแห่งชาติ<a href="http://info.spu.ac.th/file/user/20/20/upload/CIMG6583.JPG"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 640px; CURSOR: hand; HEIGHT: 480px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://info.spu.ac.th/file/user/20/20/upload/CIMG6583.JPG" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ดังนี้<br /><span style="color:#cc0000;"></span></span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#cc0000;">1.กิจกรรมทางศาสนา </span></span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#cc0000;">2.พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#cc0000;">3.กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู สา่วนมากจะเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริง</span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้กำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภา โดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครูซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด<br />สำหรับส่วนภูมิภาคให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกันกับส่วนกลางจะรวมกันจัดที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้<br />รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง(หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์ และ ประชาชน ร่วมกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 1,000 รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ประธานฝ่ายสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงาน ต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครู"อาวุโส"นอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ดังนี้</span></div><br /><div align="center"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#cc9933;">ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกา(วสันตดิลกฉันท์)</span></span></div><div align="center"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#cc9933;"> ประพันธ์ โดยพระวรเวทย์พิสิฐ(วรเวทย์ ศิวะศรียานนท์)<br />ข้าขอประนมกรกระพุ่ม อภิวาทนาการ<br />กราบคุณอดุลคุรุประทาน หิตเทิดทวีสรร<br />สิ่งสมอุดมคติประพฤติ นรยึดประคองธรรม์<br />ครูชี้วิถีทุษอนันต์ อนุสาสน์ประภาษสอน<br />ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน นะตระการสถาพร<br />ท่านแจ้งแสดงนิติบวร ดนุยลอุบลสาร<br />โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล<br />ไป่เบื่อก็เพื่อดรุณชาญ ลุฉลาดประสาทสรรพ์<br />บาปบุญก็สุนทรแถลง ธุระแจงประจักษ์แจ้งครัน<br />เพื่อศิษย์สฤษดิ์คติจรัล มนเทิดผดุงธรรม<br />ปวงข้าประดานิกรศิษย์ (ษ)ยะคิดระลึกคำ<br />ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ อนุสรณ์เผดียงคุณ<br />โปรดอวยสุพิธพรเอนก อดิเรกเพราะแรงบุญ<br />ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน ทรศิษย์เสมอเทอญ ฯ<br />ปัญญาวุฒิกเรเตเต ทินโนวาเท นมามิหัง </span></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">จากนั้นประธานจัดงานวันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบนิ่ง 1 นาที เพื่อระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ครูอาวุโสประจำการนำผู้เข้าร่วมประชุมกล่าวคำปฏิญาณดังนี้ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#cc6600;">ข้อ 1.ข้าฯจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู </span></span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#cc6600;">ข้อ 2.ข้าฯจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#cc6600;">ข้อ 3.ข้าฯจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม</span> </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">จบแล้วพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอกและในประจำการสุดท้ายกล่าวคำปราศัยและให้โอวาทแก่ครูที่มาประชุม </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#006600;">จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู</span></strong> </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">1.เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">2.ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">3.ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตนให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้ </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">4.รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใดๆอันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">5.ถือปฏิบัติตามกฎระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">6.ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">7.ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการโดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">8.ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรม ไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">9.สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและสถานศึกษา </span></div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">10.รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้าที่การงาน<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong>แหล่งที่มา</strong> : </span><a href="http://school.obec.go.th/donyai/wankru.htm"><span style="font-family:arial;font-size:130%;">http://school.obec.go.th/donyai/wankru.htm</span></a></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-50948853127060415892010-01-22T01:49:00.000-08:002010-01-22T02:08:04.302-08:00วันครูแห่งชาติ<a href="https://jemqpq.bay.livefilestore.com/y1mJZN6P5g8rPd3EC-t3vZVULPX06nwcj28ZaRMNoJHBvndkrS0vvbyCfrWhQPd40MnCAuO4C3z4-AQcaltFgeQbWaZZuFjsTDs6pCHnVGPA7HqK4b3Xd85oCMfPSsGP785fjcmt5L7lCg/วัà¸à¸à¸£à¸¹.bmp"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 520px; CURSOR: hand; HEIGHT: 373px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://jemqpq.bay.livefilestore.com/y1mJZN6P5g8rPd3EC-t3vZVULPX06nwcj28ZaRMNoJHBvndkrS0vvbyCfrWhQPd40MnCAuO4C3z4-AQcaltFgeQbWaZZuFjsTDs6pCHnVGPA7HqK4b3Xd85oCMfPSsGP785fjcmt5L7lCg/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9.bmp" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#999900;"><strong>ความหมาย</strong></span> </span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;font-size:130%;"></span><span style="font-family:Arial;font-size:130%;">ครู หมายถึงผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ<br /><strong><span style="color:#999900;">ประวัติความเป็นมา</span></strong><br />วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า"คุรุสภา" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล และให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็น ในเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ จัดสวสัดิการให้แก่ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู<br />ด้วยเหตุนี้ในทุกๆปี คุรุสภาจึงจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศ แถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภา โดยมี คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุม "สามัคคยาจารย์" หอประชุมของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในระยะหลังจึงมาใช้หอประชุมของคุรุสภา<br />ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า"วันครู"ควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไป ถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือ ครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"<br />จากแนวความคิดนี้ กอรปกับคว่ทคอดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆที่ล้วนเรียกร้องให้มี "วันครู" เพื่อให้เป็นการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่แประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มี "วันครู" เพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอในหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอีนดีระหว่างครูกับประชาชน<br />ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคม ของทุกปีเป็น "วันครู" โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้<br />การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ</span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;font-size:130%;"></span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;font-size:130%;color:#666600;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></div><div><span style="font-family:Arial;font-size:130%;"><span style="color:#000000;">1.</span><a href="http://school.obec.go.th/donyai/wankru.htm"><span style="color:#000000;">http://school.obec.go.th/donyai/wankru.htm</span></a></span></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-62076147267426081142010-01-22T01:26:00.000-08:002010-01-22T02:30:09.154-08:00งานสวัสดีปีใหม่ 2553<embed pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" type="application/x-shockwave-flash" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fanirut1921%2Falbumid%2F5404591495009718577%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US"></embed><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ffcc00;"><strong>จังหวัดขอนแก่น<br />ขอนแก่น Countdown 2010</strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff6600;">สถานที่:</span></strong> ประตูเมือง จังหวัดขอนแก่นDate:31 ธันวาคม 2552</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#009900;">กิจกรรม:</span></strong> - ประดับประดาด้วยไฟตกแต่ง ห้อยระย้ากว่าพันดวง</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- สุดอลังการธารน้ำพุเจ็ดสี ที่ทะยานพุ่งสูงกว่า 9 เมตร</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- ครั้งแรกของเมืองไทยกับการจัดดอกไม้ให้เป็นผืนพรมยักษ์ Flower carpet</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- ร่วมนับถอยหลังกับคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- สุดยอดไฮไลท์เคาท์ดาวน์กับแสง สี เสียง คือเทคนิคไพโรเอฟเฟคจากอเมริกาที่จะสร้างภาพประทับใจบนประตูเมืองขอนแก่นใต้แสงพุ จำนวน 983 นัด</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- มหามงคลแห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับการรอดประตูเมืองในคืนข้ามปี</span><br /><span style="font-family:Arial;font-size:130%;"></span><br /><span style="font-family:Arial;font-size:130%;color:#6600cc;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#000000;">1.สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานขอนแก่น โทร.0-4324-4989</span><br /><span style="font-family:Arial;font-size:130%;"><span style="color:#000000;">2.</span><a href="http://www.amazingcountdown.com/2010/102-3-1-à¸à¸­à¸à¹à¸à¹à¸-Countdown-2010-th.html"><span style="color:#000000;">http://www.amazingcountdown.com/2010/102-3-1-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99-Countdown-2010-th.html</span></a></span>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-56536136802803215872010-01-19T23:40:00.000-08:002010-01-20T00:18:36.578-08:00งานสวัสดีปีใหม่ 2553<a href="http://nongkhai.nfe.go.th/nk6720/newsicon1/1262146070.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 440px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://nongkhai.nfe.go.th/nk6720/newsicon1/1262146070.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff6600;"></span></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff6600;">ความหมายของ วันขึ้นปีใหม่</span></strong><br />ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ<br /><strong><span style="color:#ff6600;"></span></strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff6600;">ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่<br /></span></strong>ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน<br />การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก<br />การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์<br />ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป<br />เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น<br />กิจกรรมใน วันขึ้นปีใหม่<br />วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย<br /><strong><span style="color:#ff6600;"></span></strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff6600;">เพลงวันปีใหม่ (เพลงพรปีใหม่ เพลงพระราชนิพนธ์ในหลวง)</span></strong><br />ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ<br />สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดีข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรีโปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัยให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัยให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดีตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ </span></div><div> </div><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6600;"><strong>แหล่งข้อมูล</strong></span></div><div>1.<a href="http://hilight.kapook.com/view/18913"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#000000;">http://hilight.kapook.com/view/18913</span></a><a href="http://212cafe.com/freewebboard/view.phpuser=samart97&id=266"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#000000;">http://212cafe.com/freewebboard/view.phpuser=samart97&id=266</span></a></div><div>2.<a href="http://kunkruarada.blogspot.com/2008/12/blog-post_25.html"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#000000;">http://kunkruarada.blogspot.com/2008/12/blog-post_25.html</span></a></div><div>3.<a href="http://p460115093029.bravehost.com/p7.html"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#000000;">http://p460115093029.bravehost.com/p7.html</span></a> </div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-54756211492551245552010-01-17T23:01:00.000-08:002010-01-17T23:02:49.544-08:00<embed pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" type="application/x-shockwave-flash" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fanirut1921%2Falbumid%2F5406866850059862001%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US"></embed>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-36414014054019553792010-01-17T05:26:00.000-08:002010-01-28T09:36:56.720-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (ยารักษาโรค)<a href="http://www.intraonline.tht.in/images/17.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 360px" alt="" src="http://www.intraonline.tht.in/images/17.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>หมอยากลางบ้าน</strong><br />หมอยาแผนโบราณ เป็นการรักษาแบบพื้นบ้าน ในชนบทอีสานมีวิธีการสืบทอดความเชื่อในการรักษาแบบโบราณ ผู้ที่มีอาชีพรักษาผู้ป่วย เรียกว่า “หมอยากลางบ้าน” เรียกยาที่นำมารักษานี้ว่า “ยาสมุนไพร” หรือยากลางบ้านในปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่าตำรายากลางบ้านบางส่วนอาจสูญหายและขาดการสืบทอดเอาไว้ ก็ตามแต่ทว่าชาวอีสานโดยเฉพาะในดินแดนที่ห่างไกลความเจริญยังคงมีความเชื่อในการรักษาโรคแบบหมอแผนโบราณทสีื่บทอดกันมาอยู่มากหมอยากลางบ้านหรือหมอยาแผนโบราณในภาคอีสานซึ่งมีอยู่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ หมอแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคแตกต่างกันออกไป และมีชื่อเรียกกันตาม<br />ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญนั้น ๆ เช่น หมอกระดูก หมอน้ำมัน หมอน้ำมนต์ หมอยาฝนหมอเอ็น ฯลฯ<br /></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>ยาและชนิดของยากลางบ้าน<br /></strong>ยากลางบ้านที่ใช้ในการรักษาโรคของชาวอีสาน มีหลายชนิดตัวยาแต่ละชนิดมีสรรพคุณในการรักษาโรคแตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามชนิดของยากลางบ้านหรือสมุนไพรนั้น เมื่อปรุงเสร็จแล้วจะมีลักษณะดังนี้ คือ<br />- ชนิดเม็ดที่ทำเป็นลูกกลอน ส่วนมากนิยมผสมน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นลูกกลอน</span><br /><span style="font-family:arial;">- ชนิดผงที่บดเป็นผงละเอียด ส่วนใหญ่จะเป็นยาที่ละลายน้ำใช้รับประทานหรือใช้เป่าเข้าจมูกเพื่อแก้อาการคัดจมูก เป็นต้น<br />- ชนิดน้ำ ส่วนใหญ่เป็นการแช่ตัวยาสมุนไพรในน้ำโดยฝนยาสมุนไพรกับหินด้วยละลายน้ำ หรือต้มตัวสมุนไพรเพื่อให้ตัวยาละลายออกมา (น้ำที่ใช้คือน้ำฝนหรือน้ำสะอาด)<br />- ชนิดน้ำมัน ส่วนใหญ่แล้วได้จากน้ำมันพืช น้ำมันสัตว์และอื่น ๆ</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br /><span style="font-family:Arial;">1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</span></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-23316880767299832132010-01-17T05:21:00.000-08:002010-01-28T09:35:28.698-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (เครื่องนุ่งห่ม)<a href="http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=709792&stc=1&d=1254277828"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 600px; CURSOR: hand; HEIGHT: 450px" alt="" src="http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=709792&stc=1&d=1254277828" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong>2. ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรม เป็นผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมของชาวบ้านที่มีความเกี่ยวโยงกับความเชื่อ<br />เรื่องโชคลาง เช่น</strong><br />-<strong> ผ้ายันต์</strong> ที่พบเห็นจะเป็นการใช้จีวรเก่าของพระสงฆ์ ผ้าขาว หรือผ้าแดงมาขีดเขียนอักษรและนำมาบูชา เพื่อสนองตอบความเชื่อเรื่องโชคลางต่าง ๆ เช่น ให้ทำมาค้าขึ้น ให้สอบเป็นเจ้าเป็นนายได้ หรือแม้กระทั่งกันภูติผีปีศาจต่าง ๆ มารบกวน<br /><strong>- ผ้าเอ้บั้งไฟ</strong> เป็นผ้าไหม้หรือผ้าฝ้ายที่ทออย่างประณีตด้วยการจกหรือขิดใช้คล้องคอพญานาคบนองค์บั้งไฟ เพื่อความสวยงาม ซึ่งจะเป็นผ้าที่ดูโดดเด่นที่สุดในขบวนแห่บั้งไฟของชาวอีสาน<br /><strong>- ผ้าที่ใช้ถวายพร้อมเชิงบาตรกราบ</strong> เป็นผ้าฝ้ายที่ย้อมด้วยขมิ้นเหลืองผืนกระทัดรัด ซึ่งพระสงฆ์ใช้รองเวลารับของถวายจากฆราวาสที่เป็นหญิง โดยพระสงฆ์จะจับชายผ้าอีกด้านเวลารับ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"><strong>3. ผ้าในพิธีทางพุทธศาสนา เป็นผ้าที่ใช้ประกอบในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา เช่น</strong></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>- ผ้าผะเหวด</strong> เป็นผ้าฝ้ายทอพื้นสีขาว หากเป็นการทออย่างหยาบ ๆ อาจมีการลงแป้งเพื่อปิดรอยสานเส้นใยผ้าและเพื่อสะดวกต่อการลงสีที่ใช้ในการเขียนภาพบรรยาย เรื่องราวของพระเวสสันดรทั้ง 13 กัณฑ์ ส่วนผงผะเหวดจะเป็นผ้าฝ้ายสีขาวทอแบบหยาบ ๆ มีการปักขิดสีจาง ๆเป็นช่วงยาวประมาณ 2-3 วา ตรงชายผ้าประดับด้วยผ้าไหม้หรือผ้าฝ้ายทอแบบขิดสีสันสวยสะดุดตา ในบางพื้นที่อาจมีการแขวนกระดิ่งที่ชายผ้า ผ้าจะผูกกับเสาไม้ไผ่สูง 3-4 วา ในงาน “เทศกาลบุญผะเหวด”<br /><strong>- ผ้านุ่งนาคและผ้าปกหัวนาค</strong> โดยปกติผ้านุ่งนาคจะเป็นผ้าไหมทอสีพื้น บางทีอาจเป็นโสร่งลาย ซึ่งนาคใช้นุ่งในพิธีบวชนาค ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจีวรของพระ ส่วนผ้าปกหัวนาคจะเป็นผ้าฝ้ายทอสีขาวบริสุทธิ์ ใช้ปกหัวนาคในขณะทำพิธีบวชนาค โดยเฉพาะในตอนแห่นาครอบอุโบสถหรือหมู่บ้านเพื่อเป็นการกันความร้อนจากไอแดด<br /><strong>- ผ้าห่อคัมภีร์ไบลาน</strong> จะใช้ผ้าไหมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักเป็นไหมที่ทอโดยการมัดหมี่ ถือว่าเป็นศิลปะการทอชั้นสูงของคนอีสาน ใช้ห่อเพื่อเก็บคัมภีร์ไบลานจากฝุ่น มอด และแมลงต่าง ๆ เข้าทำลาย ส่วนผ้ารองคัมภีร์ไบลานจะเป็นผ้าไหมหรือฝ้าย ทอด้วยการขดหรือจกผืนขนาดกระทัดรัดใช้รองคัมภีร์ใบลานเวลาพระเทศน์</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br /><span style="font-family:Arial;">1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</span></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-22894149593055310012010-01-17T05:16:00.000-08:002010-01-28T09:33:25.732-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (เครื่องนุ่งห่ม)<a href="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/507/8507/images/vuirewp.gif"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 315px; CURSOR: hand; HEIGHT: 421px" alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/507/8507/images/vuirewp.gif" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ประเภทของผ้าในวิถีชีวิตของชาวอีสาน<br />1. ผ้าในวิถีชีวิต เป็นผ้าที่ใช้กันตามปกติ เช่น</strong></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>- ผ้าซิ่น</strong> เป็นผ้านุ่งของผู้หญิงทอด้วยไหมหรือฝ้าย จะใช้นุ่งในทุกโอกาสขณะที่อยู่บ้านหรือออกไปธุระนอกบ้านทำงานในไร่นา ใช้เป็นผ้านุ่งอาบน้ำ เป็นชุดนอน นุ่งเวลามีงานเทศกาล หรือไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งนี้ก็จะเลือกใช้ผ้าซิ่นแบบต่าง ๆ ตามแต่โอกาสและวาระ<br /><strong>- ผ้าโสร่ง</strong> เป็นผ้านุ่งของผู้ชายทอด้วยผ้าไหม้หรือผ้าฝ้ายเป็นลวดลายต่าง ๆ ใช้ในทุกโอกาสเหมือนผ้านุ่งของผู้หญิง ทั้งนี้แล้วแต่ประเภทของงาน<br /><strong>- ผ้าอีโป้ หรือผ้าขาวม้า</strong>จัดเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ โดยปกติแล้วผู้ชายจะใช้โพกหัวขณะทำงานในไร่นา ผูกเอวหรือพาดบ่า แต่ก็เห็นผู้หญิงใช้กันทั่วไป เช่น เป็นผ้าคลุมหน้าเวลาจะออกทำงานกลางแจ้ง หรือจะใช้มัดออกเวลาอยู่บ้าน เป็นต้น<br /><strong>- ผ้าแพรเบี่ยง</strong> เป็นผ้าที่ผู้หญิงหรือผู้ชายใช้พาดหรือสะพายบ่าเวลาไปร่วมทำบุญ ผ้าชนิดนี้มีการทออย่างวิจิตรบรรจง ด้วยการขิดหรือจก<br /><strong>- ผ้าอู่</strong> เป็นผ้าผืนใหญ่ลักษณะเหมือนผ้าแพรหรือผ้าขาวม้า ส่วนใหญ่ทอด้วยผ้าฝ้าย ใช้ผูกเป็นเปลให้เด็กนอน<br /><strong>- ผ้าสมมา</strong> เป็นผ้าที่ฝ่ายหญิงนั้นตั้งใจทออย่างประณีต เพื่อมอบเป็นของกำนัลแก่ญาติฝ่ายชายและตัวเจ้าบ่าวในวันแต่งงาน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของการเป็นแม่ศรีเรือนที่ดีในอนาคต และเพื่อให้ญาติฝ่ายชายเกิดความรักใคร่เอ็นดู<br /><strong>- ผ้าคลุมศพ</strong> เป็นผ้าที่ใช้ห่อศพของคนตายก่อนนำไปเผา ทอด้วยฝ้ายหรือผ้าไหม บางทีจะใช้ผ้าเก่าที่เคยเป็นสมบัติของผู้ตาย บางทีจะใช้ผ้าใหม่ที่ทออย่างประณีต เวลาเผาจะเอาผ้าออกแล้วนำผ้านั้นไปถวายพระ</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br />1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-45031046872237576582010-01-17T05:08:00.000-08:002010-01-28T09:28:21.318-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (เครื่องนุ่งห่ม)<a href="http://www.moac.go.th/builder/mu/images/phutai2.gif"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 281px" alt="" src="http://www.moac.go.th/builder/mu/images/phutai2.gif" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ลายผ้าขิด<br />ผ้าขิด</strong> มีอุปกรณ์ที่สำคัญคือไม่เก็บขิดทำให้เกิดลวดลายโดยการสะกิดเส้นด้ายเส้นยืนขึ้นเป็นระยะตามลวดลายที่กำหนดทั้งนี้คำว่า “ขิด” มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าสะกิดในภาคกลาง ลักษณะลายของผ้าขิดจะเป็นแบบลายเรขาคณิตที่เกิดจากการเว้นช่องของเส้นด้ายโดยยกเส้นยืนตามจังหวะที่ต้องการเว้น เพื่อให้เส้นพุ่งเดิน การวางเส้นยืนที่ห่างไม่เท่ากันจะทำให้เกิดลายโดยใช้ไม้เก็บขิดงัดซ้อนเส้นด้ายไปด้วยขณะที่ทอการทอผ้าขิดถือเป็นการทอผ้าที่ทำให้เกิดลวดลายสำเร็จอยู่ในกี่ลักษณะที่ผ้าขิดมักเป็นการทดลายซ้ำ ๆ กันตลอดความกว้างของผ้านิยมทอเป็นสไบหรือผ้าเบี่ยงและทำเป็นตัวหรือตีนซิ่น ในผ้าสไบช่างที่มีฝีมือสามารถประดิษฐ์ลวดลายต่างๆ เช่น ลายรูปคน ช้าง หงส์ สิงห์ ได้อย่างสวยงาม<br /><strong></strong></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>ลายผ้าขิดที่ใช้ในโอกาสต่าง ๆ<br /></strong>-ขิดดอกขิด: ใช้ในงานบุญ งานบวชนาค</span><br /><span style="font-family:arial;">-ขิดลายตะเภาหลงเกาะ: ใช้ในบวชนาค<br />-ขิดแมงเงา: ใข้รับแขกที่บ้าน<br />-ขิดทัง: ใช้สำหรับสงฆ์มาทำบุญบ้าน<br />-ขิดขอ: ใช้แต่งห้องรับแขก<br />-ขิดดอกแก้ว: ใช้ไหว้ผู้ใหญ่<br />-ขิดกาบใหญ่: ใช้ไหว้ผู้ใหญ่<br />-ขิดกาบน้อย: ใช้แต่งห้องลูกเขย<br />-ขิดดอกจันทร์: ใช้ในงานสงกรานต์<br />-ขิดดอกงูเหลือม: ขิดหมากโม ขิดประแจนไช ขิดแมงงอด: ใช้ในบ้าน<br />-ขิดโมกระหย่อย: ใช้ปูแท่นบูชา</span><br /><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>ลายผ้าขิด มักจะเป็นรูปทรงเรขาคณิต จุด สี่เหลี่ยม หรือเส้นตรงมี 4 ลักษณะคือ<br /></strong>-จุด ไม่กำหนดเป็นรูปทรงอาจจะทอกระจายหรือต่อเนื่องประกอบลวดลายอื่น ๆ<br />-เส้นตรง คือ การเรียงจุดให้เป็นแถวทั้งแนวนอนและแนวตั้ง<br />-สามเหลี่ยม มีทั้งแบบทึบทอกลวงหรือโปร่ง<br />-สี่เหลี่ยม นิยมใช้สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ผืนผ้า หรือสี่เหลี่ยมด้านเท่า<br />-ลายผสม ลายขิดที่เป็นลายของแพรวา เช่น ลายพันมหาอุ้มหงส์ ลายนาคสี่แขน ลายช่อ<br />ขันหมาก ลายดาวไต่เครือ<br /></span><br /><span style="font-family:arial;">ชาวบ้านในแทบทุกพื้นที่ของภาคอีสานจะทอผ้าไว้ใช้เอง โดยใช้ฝ้ายและไหมเป็นวัตถุดิบที่สำคัญ ผ้าที่ทอได้จะนำมาใช้เป็นเครื่องนุ่มห่มและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ในพิธีกรรมของชาวบ้านเอง หรือแม้แต่พิธีกรรมทางพุทธศาสนา ในครั้งอดีตยังใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนตามแต่โอกาสและวาระเป็นส่วยหรือเครื่องบรรณาการ เพื่อยกเว้นการเกณฑ์แรงงานของหัวเมืองใหญ่ การทอผ้าที่ใช้ในโอกาสที่สำคัญ เป็นการแสดงถึงฝีมือ ความละเอียด ความอดทนและจินตนาการของผู้ทอ รวมทั้งความเฉลียวฉลาดในการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งในการใช้งานและความสวยงาม ดังนนั้ ผลิตผลจากการทอผ้าจึงเป็นเครื่อวัดคุณสมบัติของผู้หญิงในสังคมอีสานถึงความพร้อมที่จะเป็นภรรยาที่ดีในอนาคต ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงได้รับการถ่ายทอด ความรู้เรื่องการทอผ้าโดยผ่านระบบครอบครัวอย่างต่อเนื่อง</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br />1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-4350437342239233892010-01-17T05:04:00.000-08:002010-01-28T09:24:05.015-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (เครื่องนุ่งห่ม)<a href="http://www.moac.go.th/builder/mu/images/jokKrang2.gif"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 318px" alt="" src="http://www.moac.go.th/builder/mu/images/jokKrang2.gif" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ผ้าจก</strong> คือการควัก เส้นไหมหรือเส้นฝ้าย ขึ้นมาจากข้างล่างสอดสลับเป็นลวดลายตามต้องการโดยใช้ขนแม่นคล้ายทอสลับกับการปัก คือ ต้องอาศัยความชำนาญมากลวดลายของผ้าจกคล้ายกับลายขิด แต่ละขิดแต่ละหน่วยไม่อาจทำลายสีสลับกันได้ เพราะใช้เส้นพุ่งเส้นเดียวตลอดในแต่ละครั้ง แต่ละหน่วยแต่ละลายจึงทำได้เพียงสีเดียว ส่วนลายจกจะทำสีลายสลับกันได้ต้องการสีอะไรตรงไหนก็สอดไหมสีนั้นลงไป แล้วควักขึ้นมา จากนั้นกระแทกด้วยฟืมให้แน่นผ้าจกส่วนมากชอบทำเป็นผ้าสไบ (ผ้าเบี่ยง) ที่รู้จักกันดี ได้แก่ </span><br /><span style="font-family:arial;">ผ้าแพรวา ของกาฬสินธิ์ นอกจากนั้นยังนิยมทำเป็นลายตีนซิ่น<br /></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>ผ้าแส่ว</strong> คือ ผ้าที่ใช้เก็บรักษาและสืบทอดลวดลายนั้น โดยจะทำลวดลายตัวอย่างเก็บรวมกันไว้ในผ้าฝ้ายสีขาวขนาดกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ยาวประมาณ 50 เซนติเมตร แต่จะไม่กว้างหรือยาวเกินไป เพราะสะดวกในการกางดูลายและเก็บรักษา</span><br /><span style="font-family:arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;">ลวดลายผ้าจกนั้น โดยเฉพาะผ้าแพรวามีความโดดเด่นและลักษณะพิเศษโดยได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมและะรรมชาติ ส่วนใหญ่จะทอลายหลักใหญ่ ๆ เพียง 4-5 ลายเท่านั้น เช่น ลายดอกกระบวนเอง ลายกิ่ว ลายใบ-บุ่นหว่าน ลายพันมหา ลายนาคหัวจุ้ม และลานนาคหัวจุ้มสองแขน</span><br /></div><span style="font-family:arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br />1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-91137764287371070202010-01-17T04:58:00.001-08:002010-01-28T09:15:39.241-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (เครื่องนุ่งห่ม)<a href="http://www.krujongrak.com/uthaiwisdom/cokmoh/pic11.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 337px" alt="" src="http://www.krujongrak.com/uthaiwisdom/cokmoh/pic11.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ลายมัดหมี่<br />มัดหมี่</strong> คือ การย้อมฝ้ายหรือไหมก่อนนำไปทอโดยขึงเส้นไหมเข้ากับโฮงหมี่ แล้วใช้เชือกมัดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีให้แน่นตามลวดลายที่ต้องการแล้วนำไปย้อมสี เมื่อแก้ออกส่วนที่มัดจะเป็นสีขาว ถ้าต้องการมากขึ้นต้องนำไปมัดทับสีเดิม เรียกว่า “โอบ” เว้นไว้เฉพาะที่ต้องการให้เป็นสีการมัดหมี่ต้องอาศัยการคำนวณด้วยความชำนาญ เพื่อให้ลายที่มัดออกมาสวยงาม การมัดหมี่ในประเทศไทยจะมัดเฉพาะเส้นพุ่งเท่านั้น<br />อุปกรณ์ในการมัดหมี่ “โฮง” </span><br /><span style="font-family:arial;">โฮง หรือโฮงหมี่ถือหลักสำหรับใส่ด้ายหรือไหมสำหรับมัดหมี่ให้เป็นลวดลายลายผ้ามัดหมี่ เป็นลายผ้าที่แสดงถึงแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบข้างและธรรมชาติใกล้ตัว เช่น สัตว์ พืช และสิ่งประดิษฐ์ จากการสำรวจพอจะแบ่งคัดเลือกลายมัดหมี่ออกเป็นแม่ลายพื้นฐาน 7 ลาย คือ<br />1.หมี่ข้อมี 2 ชนิด คือ หมี่ข้อตรง หวี่ข้อหว่าน<br />2. หมี่โดมมี 2 ชนิด คือ หมี่โดมห้า หมี่โดมเจ็ด<br />3. หมี่มัดจับ (หมี่หมากจับ)<br />4. หมี่กงน้อย มี 2 ชนิด หมี่กงน้อยห้า หมี่กงน้อยเจ็ด<br />5. หมี่ดอกแก้ว<br />6. หมี่ในไผ่</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br />1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-40279276011814249672010-01-17T04:58:00.000-08:002010-01-28T09:11:48.549-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (เครื่องนุ่งห่ม)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqkB8VMXx96fShIkaFx_ORDOj6p1l8PrMK0Szx2fsHnZ-z0yUkebGEYc2jcAFZk77fKsd7QeOxqUqlFBKbECOEf6To_Cyxa9NieqgQUGwBnSn61Flxl5XLat5SIA5i_rfRqmDSha-nYQM/s400/sr004_3.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 290px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqkB8VMXx96fShIkaFx_ORDOj6p1l8PrMK0Szx2fsHnZ-z0yUkebGEYc2jcAFZk77fKsd7QeOxqUqlFBKbECOEf6To_Cyxa9NieqgQUGwBnSn61Flxl5XLat5SIA5i_rfRqmDSha-nYQM/s400/sr004_3.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ลายมัดหมี่</strong><br />มัดหมี่ คือ การย้อมฝ้ายหรือไหมก่อนนำไปทอโดยขึงเส้นไหมเข้ากับโฮงหมี่ แล้วใช้เชือก<br />มัดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีให้แน่นตามลวดลายที่ต้องการแล้วนำไปย้อมสี เมื่อแก้ออกส่วนที่มัดจะ<br />เป็นสีขาว ถ้าต้องการมากขึ้นต้องนำไปมัดทับสีเดิม เรียกว่า “โอบ” เว้นไว้เฉพาะที่ต้องการให้เป็นสี<br />การมัดหมี่ต้องอาศัยการคำนวณด้วยความชำนาญ เพื่อให้ลายที่มัดออกมาสวยงาม การมัดหมี่ใน<br />ประเทศไทยจะมัดเฉพาะเส้นพุ่งเท่านั้น<br />อุปกรณ์ในการมัดหมี่ “โฮง”<br />โฮง หรือโฮงหมี่ถือหลักสำหรับใส่ด้ายหรือไหมสำหรับมัดหมี่ให้เป็นลวดลาย<br />ลายผ้ามัดหมี่ เป็นลายผ้าที่แสดงถึงแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบข้างและธรรมชาติใกล้ตัว<br />เช่น สัตว์ พืช และสิ่งประดิษฐ์ จากการสำรวจพอจะแบ่งคัดเลือกลายมัดหมี่ออกเป็นแม่ลาย<br />พื้นฐาน 7 ลาย คือ<br />1.หมี่ข้อมี 2 ชนิด คือ หมี่ข้อตรง หวี่ข้อหว่าน<br />2. หมี่โดมมี 2 ชนิด คือ หมี่โดมห้า หมี่โดมเจ็ด<br />3. หมี่มัดจับ (หมี่หมากจับ)<br />4. หมี่กงน้อย มี 2 ชนิด หมี่กงน้อยห้า หมี่กงน้อยเจ็ด<br />5. หมี่ดอกแก้ว<br />6. หมี่ในไผ่</span></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-42752298013788410102010-01-17T04:53:00.000-08:002010-01-28T09:02:59.216-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (เครื่องนุ่งห่ม)<a href="http://www.lib.ru.ac.th/journal/images/pt1.gif"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 880px; CURSOR: hand; HEIGHT: 553px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www.lib.ru.ac.th/journal/images/pt1.gif" border="0" /></a><br /><div><a href="http://www.lib.ru.ac.th/journal/images/pt3.gif"></a><br /><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>การทอผ้า<br /></strong>การทอผ้าเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านของชาวอีสานที่ถือเป็นหน้าที่ของสตรีที่จะใช้เวลาว่างการเก็บเกี่ยว มาทอผ้าสำหรับนำมาใช้ในครอบครัวหรือประเพณีต่าง ๆ ชาวอีสานรับอิทธิพลของธรรมชาติรอบข้างมาใช้เป็นศิลปะในการทอผ้าลายต่าง ๆ เทคนิคและกรรมวิธีการผลิตผ้าไหมและผ้าฝ้ายเป็นขั้นตอน ที่เกิดจากการผสมผสานประสบการณ์เทคโนโลยีพื้นบ้านที่สืบต่อกันมาเป็นเวลานานโดยรูปแบบของผ้า เรียกตามเทคนิคการ</span><br /><span style="font-family:arial;">ทอ เช่น ผ้าขิด ผ้ามัดหมี่ ล้วนมีความสัมพันธ์กับผ้าทอในดินแดนใกล้เคียง เช่น ลาวและกัมพูชา ทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้ในการให้รูปแบบเทคนิค และลวดลายการทอผ้าแก่กัน อันเป็นผลมาจากการอพยพเคลื่อนย้ายของผู้คนจากประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มชนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ปัจจุบันทำให้รูปแบบของผ้าอีสานมีความหลากหลายและผสมผสานจนออกมาเป็นรูปแบบเฉพาะท้องถิ่น จนเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาค</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"><strong>การเตรียมเส้นไหม<br />การเตรียมเส้นไหมไปมัดหมี่ให้เป็นลวดลาย<br /></strong>1. การเตรียมเส้นเครือ: จะนำไหมที่แกว่งแล้วไปคันหูก โดยใช้หลักเฝือ เพื่อกำหนดความยาวตามต้องการ เมื่อได้เส้นไหมยาวตามต้องการแล้วจึงนำไปย้อมสีตากให้แห้งนำไปสืบหูกเพื่อเตรียมทอเป็นผ้า<br />2. การเตรียมเส้นตำ: นำไหมที่แกว่งแล้วไปแกว่งเพื่อทำเป็นฝอย แล้วย้อมสีตามให้แห้งนำไปกวักเข้าอักและปั่นหลอดใส่กระสวย สำหรับตำหรือพุ่งเป็นผืนผ้า<br />3. การเตรียมเส้นตำ (เส้นหุ่ง) ที่มัดหมี่เป็นลวดลาย: การมัดหมี่เป็นการมัดหรือผูกเส้นไหมให้เป็นลวดลายต่าง ๆ วิธีการเริ่มจากการนำเส้นไหมที่แกว่งแล้วทำเป็นฝอย แล้วนำไปใส่โฮงหมี่(หลักมัดหมี่) เมื่อมัดเสร็จแล้วปลดออกจากโฮงหมี่ไปย้อมสี (ส่วนที่มัดสีจะไม่ติด) ผู้ย้อมจะใช้น้ำสีแต้มให้เป็นสีตามต้องการนำไปตากให้แห้งกวักเข้าอัก เพื่อปั่นหลอดร้อยหลอดเรียงตามลำดับก่อนหลัง ห้ามสลับกันนำไหลอดไปใส่กระสวยเป็นเส้นพุ่งทอเป็นผืนผ้าต่อไป</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"><strong>การเตรียมเส้นฝ้ายเพื่อทอ</strong><br />1. การเตรียมเส้นตำ: กลุ่มเส้นตำจะมีทั้งเส้นตำที่เป็นสีพื้นและเส้นตำที่เป็นมัดหมี่หรือมัดย้อม เส้นตำที่มัดหมี่หลังบ่าและฟอกเรียบร้อยแล้วจะนำไปใส่โฮงหมี่ และมัดลวดลายตามที่ต้องการ เสร็จแล้วไปย้อมสีตามต้องการแล้วจึงแกะเชือกที่มัดออกแล้วนำมากางใส่กงเพื่อปั่นด้ายจากกงใส่อีกเรียกว่า “การกวัก” จากนั้นจึงปั่นด้ายจากอักใส่หลอดโดยดึงปลายด้านหนึ่งพันกับหลอดไม้เล็ก ๆ สอดอยู่ที่แกนของเหล็กในหมุนมือหมุน ให้เหล็กไนหมุนเพื่อปั่นด้ายเข้าหลอด</span><br /><span style="font-family:arial;">2. การเตรียมเส้นสำหรับเข็นเป็นเส้นเครือ: หลังจากผ่านการบ่าและฟอกแล้วนำมาย้อมใส่กงและปั่นจากกงใส่อัก เรียกว่า “การกวัก” เช่นเดียวกันเมื่อได้เส้นฝ้ายจากการกวักฝ้ายอยู่ในอีกแล้วนำอัก 2 อันมาคัน เรียกว่า “การคันหูก” เพื่อกำหนดเส้นเพื่อจะทำเป็นเส้นเครือ ทำคัดต้องคันด้าย 2 เส้นพร้อมกัน ถ้าต้องการให้หนาให้ใส่สี่เส้นจะใส่เส้นเดียวไม่ได้เพราะต้องใช้เป็นเส้นบนเส้นล่าง เมื่อเตรียมเส้นด้ายเรียบร้อยแล้วให้พันเส้นด้ายคล้องไปตามหลักแต่ละหลักเผือจากล่างไปถึงบนสุดแล้วพันเส้นด้ายกลับมาทางเดิม ด้านล่างตรงนี้เป็นจุดสำคัญไขว้เส้นด้ายให้เป็นเส้นบนเส้นล่าง ซึ่งจะนำไปสืบเข้ากับเขาและฟืมต่อไป เมื่อได้จำนวนเส้นครบพอกับฟืมแล้วจึงถอดด้ายออกจากหลักเผือเพื่อเก็บนำไปสืบหูกต่อไปเรียกด้านที่คันแล้วว่า “เครือหูก” จากนั้นนำด้ายนี้ไปใส่ในช่องพันฟืม โดยนำเส้นแต่ละเส้นผูกต่อกันกับเส้นด้ายที่มีอยู่แล้ให้แนบแน่น และครบทุกส้น</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br />1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</div></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-37840367823097874382010-01-17T04:46:00.000-08:002010-01-28T08:51:11.026-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (ที่อยู่อาศัย)<a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/12/25/images/news_img_92731_1.jpg"><img style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 450px; CURSOR: hand; HEIGHT: 446px" alt="" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/12/25/images/news_img_92731_1.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>3.2 เรือนโข่ง</strong> ลักษณะของเรือนประเภทนี้จะประกอบด้วยเรือนใหญ่และเรือนโข่ง (เรือนน้อย) ตั้งอยู่ตรงข้าม อาจตั้งชิดติดกันเป็นเรือนจั่วแฝดเชื่อมติดกันด้วยฮางริน (รางน้ำ) ระหว่างหลังคาเรือนทั้งสองหลังหรือตั้งอยู่ห่างกัน แต่เชื่อมด้วยชานก็ได้เรือนโข่งมีขนาดเล็กและหลังคาต่ำกว่าเรือนใหญ่เล็กน้อย มีห้อง 2-3 ห้อง มักกั้นฝาเพียง 3 ด้าน เปิดโล่งด้านที่หันเข้าหาเรือนใหญ่เรือนโข่งมีโครงสร้างเป็นเอกเทศจากเรือนใหญ่ สามารถรื้อไปปลูกใหม่ได้ทันที ใช้ประโยชน์เช่นเดียวกับเกย อาจมีชานแดดหรือเรือนไฟต่อออกทางด้านข้างของเรือน<br /></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>3.3 เรือนแฝดเรือแฝด</strong> จะประกอบด้วยเรือนใหญ่และเรือนอีกหลัง หนึ่งที่เรียก เรือน-แฝด มีรูปร่างประโยชน์ใช้สอยเหมือนกับเรือนโข่งต่างกันตรงที่ลักษณะโครงสร้างของเรือนแฝด คือ ทั้งขื่นและคานจะฝากไว้กับตัวเรือนใหญ่ พื้นเรือนอาจเสมอกันหรือลดระดับจากเรือนใหญ่ก็ได้ ฝาของเรือนแฝดจะทำให้มีขนาดใหญ่หรือลำลองกว่าฝาเรือนใหญ่ ฝาด้านที่หันเข้าหาเรือนใหญ่จะเปิดโล่งเชื่อมกับชาน แดดออกสู่เรือน ไฟเรือนชนิดนี้มักจะเป็นเรือนของผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดี</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br /><span style="font-family:Arial;">1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</span></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-47778059559391319592010-01-17T04:37:00.000-08:002010-01-28T08:49:25.733-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (ที่อยู่อาศัย)<a href="http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0009/reangthai/images_1/images_wn/WN-142-1.jpg"><img style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 207px" alt="" src="http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0009/reangthai/images_1/images_wn/WN-142-1.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>3. ที่พักอาศัยประเภทถาวร</strong><br />ที่พักอาศัยประเภทถาวรจะมีโครงสร้างเป็นไม้จริง (เรือนเครื่องสับ) รูปทรงสี่เหลี่ยมไต้ถุนสูงหลังคาทรงจั่ว เสาเป็นเสากลมหรือเสาเหลี่ยม ฝาเป็นฝาไม้ไผ่สายลายคุปหรือฝาไม้กระดาน(ฝาแอ้มแป้น) ที่พักอาศัยประเภทถาวรนี้อาจจำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ<br /><strong>3.1 เรือนเกย</strong> หรือเรือนใหญ่ต่อเกยมีส่วนประกอบสำคัญคือ<br /><strong>3.1.1 เรือนใหญ่</strong> เป็นเรือนขนาด 3 ช่วงเสาหันด้านข้างไปทางทิศตะวันออก ตะวันตก (ปลูกเรือนล่องตะวัน) ตีฝากั้นปิดทึบทั้ง 4 ด้าน ฝาเรือนทางด้านหลังเจาะช่องขนาดกว้าง 1 ศอกยาว 1 ศอก เพื่อให้ลมและแสงสว่างเข้าสู่เรือนเรียกว่า “ป่องเอี้ยม” เจาะประตู 2 หรือ 3 ประตูตามช่วงเสาด้านตรงข้ามแบ่งพื้นที่ใช้ประโยชน์ในตัวเรือนออกเป็น 3 ส่วน คือ<br />- ห้องเปิง ตั้งอยู่ริมด้านหัวเรือนของเรือนใหญ่เป็นส่วนที่วางหิ้งสักการะบูชาผีบรรพบุรุษ ผีเรือนและหิ้งพระ หรือบางครั้งอาจใช้เป็นห้องนอนของลูกชาย ห้องเปิดอาจเรียกชื่อว่าห้องผีหรือห้องพระก็ได้</span><br /><span style="font-family:arial;">- ห้องส้วม จะตั้งอยู่ริมด้านท้ายเรือนของเรือนใหญ่ ตรงข้ามกับห้องเปิดงใช้เป็นห้องนอนของลูกสาวหรือห้องนอนของลูกสายกับลูกเขยหลังแต่งงาน</span><br /><span style="font-family:arial;">- ห้องส้วม จะตั้งอยู่ริมด้านท้ายเรือนของเรือนใหญ่ ตรงข้ามกับห้องเปิดงใช้เป็นห้องนอนของลูกสาวหรือห้องนอนของลูกสายกับลูกเขยหลังแต่งงาน<br /><strong>3.1.2 เกย หรือบ้านโล่ง</strong> เป็นชานที่มีหลังคาคลุม มีลักษณะเป็นการต่อชานออกมาทางด้านหน้าของเรือน มีหลังคาคลุมพื้นเป็นไม้กระดานด้านข้าง อาจเปิดโล่งหรือกั้นฝาและพื้นเกยจะมีระดับต่ำกวา่ พื้นเรือนใหญ ่ ใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมตา่ ง ๆ ในครอบครัว เช่น รับประทานอาหาร รับรองแขกพักผ่อน อิริยาบททำบุญเลี้ยงพระ ทำพิธีสู่ขวัญ ฯลฯ<br /><strong>3.1.3 ชานแดด</strong> เป็นการต่อชานออกมาจากทางด้านหน้าเปิดโล่งทั้งด้านบนและด้านข้าง พื้นชานแดดจะลดระดับลงมาจากเกยใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามเย็น เป็นที่รับประทานอาหาร หรือวางผลิตผลทางการเกษตร พื้นที่ส่วนหนึ่งมักสร้างเป็นร้านเพื่อตั้งโอ่งน้ำสำหรับดื่มเรียกว่า “ร้านแอ่งน้ำ”<br /><strong>3.1.4 เรือนไฟ</strong> หรือเรือนครัวเป็นส่วนที่ประกอบอาหารเป็นตัวเรือนขนาด 2 ช่วงเสาต่ออกมาจากชานแดดด้านข้างทิศท้ายเรือน ฝาเรือนไฟจะนิยมทำเป็นฝา โปร่งเพื่อระบายอากาศเรือนไฟอาจมีชานมนเป็นที่ตั้งโอ่งน้ำสำหรับประกอบอาหารและล้างภาชนะ<br /><br /></span><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br /><span style="font-family:arial;">1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</span></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-37936838647827320952010-01-17T04:08:00.000-08:002010-01-28T08:42:39.923-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (ที่อยู่อาศัย)<a href="http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0009/reangthai/images_1/images_wn/WN-132-1.jpg"><img style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 207px" alt="" src="http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0009/reangthai/images_1/images_wn/WN-132-1.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ที่พักอาศัยของชาวอีสาน</strong><br />รูปแบบที่พักอาศัยของชาวอีสานเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เกิดจากการสั่งสมและถ่ายทอดรูปแบบการก่อสร้างที่พักอาศัยให้เหมาะสมกับสภาทางภูมิศาสตร์และการใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน จนเกิดเป็นแบบแผนและมีคติยึดถือจนกลายเป็นความเชื่อ จารีต ประเพณี ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในชีวิต ถ้าหากจะจำแนกประเภทของที่พักอาศัยของคนชาวอีสาน โดยใช้เกณฑ์อายุการใช้งาน (ช่วั คราว กึ่งถาวรและถาวร) ซงึ่ แต่ละประเภทจะมีลักษณะและการใช้วัสดุที่<br />แตกต่างกันเป็นเครื่องบ่งชี้อายุการใช้งาน อาจจำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ<br /><strong>1. ที่พักอาศัยประเภทชั่วคราว<br /></strong>ที่พักอาศัยประเภทนี้จะใช้เฉพาะบางฤดูกาล เช่น เถียงนาหรือเถียงไร่ที่พักอาศัยประเภทนี้จะยกพื้น สูงเสาทำจากไม้จริง หรือ ไม้ไผ่ โครงไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้า พื้นไม้ ไผ่สับฟากฝาเปิดโล่ง</span><br /><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>2. ที่พักอาศัยประเภทกึ่งถาวร</strong><br />ที่พักอาศัยประเภทกึ่งถาวรอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ<br /><strong>2.1 เรือนเหย้า</strong> (เรือน ภาษาอีสาน หมายถึง บ้าน) หรือ เหย้า เป็นเรือนขนาด 2 ห้องเสาสำหรับคู่สามี-ภรรยาที่แยกเรือนออกจากครอบครัวพ่อแม่ เนื่องจากธรรมเนียมไม่นิยมอยู่ร่วมกันหลายครอบครัวในเรือนหลังเดียวกัน เรือนเหย้ามักสร้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเรือนของพ่อแม่เพื่อใช้เป็นที่อยู่ระหว่างที่กำลังสร้างฐานะ ส่วนประกอบของเรือนมีเพียง 2 ห้อง คือห้องนอนและห้องเอนกประสงค์<br /><strong>2.2 ตูบต่อเล้า</strong> เป็นการสร้างเกยหรือเทิน (เพิง) ต่อออกมาจากเล้าข้าว (ยุ้งข้าว) มีขนาดตามความยาวของเล้าข้าวประมาณ 2-3 ช่วงเสา วัสดุที่ใช้เป็นวัสดุประเภทเดียวกับใช้สร้างเรือนเหย้า ตูบต่อเล้าเป็นที่อยู่อาศัยชั่วระยะเวลาหนึ่งของสามีภรรยาที่เพิ่งออกเรือน แต่ยังไม่พร้อมที่จะสร้างเรือนเหย้าหรือว่าเรือนใหญ่ได้ เมื่อสามารถสร้างเรือนเหย้าหรือเรือนใหญ่ได้ตูบต่อเล้าก็จะกลายเป็นสถานที่เก็บวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตร หรือเป็นที่นั่งเล่นพักผ่อนต่อไป</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br />1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-81079852498202615392010-01-17T04:06:00.000-08:002010-01-28T08:34:15.328-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (อาหาร)<a href="http://www.212cafe.com/freewebboard/user_board/rasisalai/picture/00280_12.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 600px; CURSOR: hand; HEIGHT: 738px" alt="" src="http://www.212cafe.com/freewebboard/user_board/rasisalai/picture/00280_12.jpg" border="0" /></a><br /><div><a href="http://www.sa.ac.th/biodiversity/contents/5insect/atestacea.jpg"></a><br /><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span> </div><div><span style="font-family:arial;"><strong>แมลง<br /></strong>ชาวอีสานมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย อยู่ง่าย พืชผักหรือสัตว์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติทั่วไปในท้องถิ่น สามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ โดยเฉพาะแมลงที่มีอยู่หลายชนิดนั้น เป็นสัตว์ให้โปรตีนสูง ส่วนมากจะนำมาปรุงด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การคั่วเกลือ นำมาเป็นอาหารเสริในประเภทแกงและอ่อม ซึ่งปัจจุบันความนิยมได้แพร่หลายไปสู่ท้องถิ่นอื่น ๆ แมลงที่นิยมรับประทาน ได้แก่<br />1.แมลงกินูน<br />2.มดแดง และ ไข่มดแดง<br />3.ดักแด้ไหม<br />4.ต่อ แตน<br />5.แมลงตับเต่า หรือ ด้วงดิ่ง<br />6.แมลงเหนียง<br />7.แมลงกุดจี่ หรือ ด้วงขี้ควาย<br />8.แมลงงำ หรือ แมลงโป้งเป้ง หรือ ตัวอ่อนแมลงปอ<br />9.แมลงเม่า<br />10.จิโป่ม จิ้งโก่ง หรือจิ้งหรีดตัวโต<br />11.จักจั่น<br />12.ตั๊กแตนชนิดต่าง ๆ ตั๊กแตนหนวดยาวหรือแมงมัน ตั๊กแตนตำข้าวหรือแมงนบ<br />13.แมลงกอกหรือด้วงหนวดยาว</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br /><span style="font-family:Arial;">1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</span></div></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-7609273146756217902010-01-17T04:01:00.000-08:002010-01-28T08:29:17.568-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (อาหาร)<a href="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/253/17253/images/par/jkhjl.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 504px; CURSOR: hand; HEIGHT: 362px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/253/17253/images/par/jkhjl.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ปลา<br /></strong>ภาคอีสานเป็นภูมิภาคที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ นอกจากนั้นยังประกอบด้วยแม่น้ำ ห้วย หนองคลอง บึง ตลอดทั่วทั้งภูมิภาค ในฤดูฝนจะมีน้ำมากและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำนานาพันธุ์ปลาเป็นอาหารให้คุณค่าโปรตีนที่สำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวอีสานมาแต่โบราณ<br /><strong>1. ปลาบึก</strong> เป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เนื้อมากแข็ง หนังหนานำมาประกอบอาหารประเภท ลาบ ก้อย ผัดเผ็ด เอาะ พบมากในแม่น้ำโขง</span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>2. ปลาโจก</strong> ตัวโตพอสมควรมีเกล็ดมีก้างมาก เป็นปลาที่ชาวอีสานนิยมรับประทาน เพราะอร่อย รสหวาน มัน เนื้อนุ่ม นำมานึ่งจิ้มน้ำพริกและนึ่งทรงเครื่อง ต้มยำ ลาบ ก้อย<br /><strong>3. ปลานาง</strong> (เป็นปลาเนื้ออ่อน) ตัวยาวแบนเล็กน้อย รสมัน เนื้อนุ่ม นำมาประกอบอาหารประเภททอด ต้ม ปิ้ง นึ่ง ผัด เอาะ<br /><strong>4. ปลาสวาย</strong> เป็นปลาตัวที่ยาวใหญ่ สีขาว ตรงแก้มไม่มีจุดสีดำ เนื้อสีเหลือง รสมันและมีกลิ่นคาวมากนำมาทำปลาส้ม ปลาแดก<br /><strong>5. ปลาปึ่ง</strong> ลำตัวสีดำขาวตะกั่วคล้ายปลาสวาย ต่างกันที่แก้มมีจุดสีดำ รสมัน (เหมือนปลาเทโพ) นำมาทำเค็มหมากนัก ห่อหมก ปลาแดก ลาบ เอาะ<br /><strong>6. ปลาคัง</strong> คล้ายปลากดแต่มีหัวใหญ่กว่าสีเขียวเข้ม เนื้อสีขาวนุ่ม ซึ่งนำมาประกอบอาหาร ประเภทลาบ ต้ม เอาะ<br /><strong>7. ปลาค้าว</strong> ลำตัวแบน ยาว สีดำ ขาว เนื้อสีขาวนุ่ม จะนำมาประกอบอาหารประเภท ลาบ ต้ม เอาะ<br /><strong>8. ปลาเผาะ</strong> ลำตัวและเนื้อจะมีสีขาวนำมาทำห่อหมก หรือนึ่งจิ้มน้ำพริก<br /><strong>9. ปลากด</strong> คล้ายปลาคังแต่หัวจะเล็กกว่า เนื้อสีขาวนุ่ม ลำตัวสีดำหรือสีเหลืองนำมาประกอบอาหารประเภทต้มส้มหรือลาบ ปิ้ง<br /><strong>10. ปลาแข้</strong> มีลำตัวใหญ่และหัวใหญ่แต่หางเล็ก ลำตัวลายเหลืองดำ มีเนื้อสีเหลือง มีกลิ่นคาว นำมาประกอบอาหารประเภทลาบ<br /><strong>11. ปลาขบ</strong> มีลำตัวและหัวแบน เนื้อและลำตัวมีสีขาว นำมาประกอบอาหารประเภทลาบ<br /><strong>12. ปลาแขยง</strong> ตัวเล็ก คล้ายปลากด สีเหลือง นำมาประกอบอาหารประเภททอด ตากแห้ง<br /><strong>13. ปลาอีตู๋</strong> เป็นปลามีเกล็ด ลำตัวสีดำอมน้ำตาล ตัวใหญ่ นำมานึ่งจิ้มน้ำพริก ลาบ ทำปลาส้ม ปลาแดก<br /><strong>14. ปลาหมู</strong> มีลำตัวแบนและมีขนาดเท่านิ้วมือ หัวแหลม มีเขียวคล้ายหมูป่า ตัวสีขาวแดง ฟ้า หางสีแดงส้ม เนื้อมีนสมัน นำมาประกอบอาหารประเภท ต้ม ปิ้ง ทอด เอาะ<br /><strong>15. ปลาหลด</strong> ตัวดำ ยาวประมาณ 3-5 นิ้ว ปากแหลม หางมีจุดสีดำ นำมาประกอบอาหารประเภททอด ย่าง ปิ้ง ต้มส้ม<br /><strong>16. ปลาหลาด</strong> มีตัวและขนาดเดียวกับปลาหลด มีลายสวยเหมือนงู นำมาประกอบอาหารประเภท ปิ้ง ทอด ต้มยำ ต้มส้ม<br /><strong>17. ปลาปาก (ตะเพียน)</strong> ตัวขนาดกลาง เกล็ดสีขาวดำมีก้างมาก นิยมใช้ทำส้มปลา</span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br />1.จาก “สังคมและวัฒนธรรมอีสาน” เอกสารประกอบนิทรรศการถาวร “อีสานนิทัศน์” 2549 หน้า 125-188</div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6126590057161800157.post-26175999206498899652010-01-17T03:58:00.000-08:002010-01-28T08:27:04.426-08:00ปัจจัยในการดำรงชีพ (อาหาร)<a href="http://www.sara108.com/file/img/E_p2.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 526px; CURSOR: hand; HEIGHT: 441px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www.sara108.com/file/img/E_p2.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>อาหารท้องถิ่นที่นิยม<br />ผัก<br /></strong>ผักพื้นเมืองอีสานที่นิยมรับประทานส่วนมาก ใช้ทำเครื่องเคียงกับอาหารชนิดอื่น หรือบางพวกใช้ปรุงรส<br />1.ผักกระโดน ผักกระโดนบก ผักกระโดนน้ำ<br />2.ผักเม็ก<br />3.ผักติ้ว<br />4.ใบย่านาง<br />5.ผักกะหย่า<br />6.ผักแขยง<br />7.ผักผำ<br />8.ผักแว่น<br />9.ผักแพงพวย</span><br /><span style="font-family:arial;">10.ผักกาด<br />11.สายบัว<br />12.ผักตังส้ม<br />13.ดังขม<br />14.ผักบ่อ<br />15.ขนุนอ่อน (หมากหมี่)<br />16.ใบขี้เหล็ก<br />17.ใบชะพลู (อีเลิด)<br />18.ผักชะอม (ผักขา)<br />19.ผักปลัง<br />20.ผักชีฝรั่ง<br />21.ผักชีลาว<br />22.ผักแผ่ว<br />23.ยอดฟักทองอ่อน<br />24.ใบมะยมอ่อน<br />25.ดอกข่า<br />26.ผักหูเสือหรือใบสาบเสือ<br />27.ผักกาดฮิ่น<br />28.มะละกอดิบ (หมากหุ่ง หรือ บักหุ่ง)<br />29.มะขามยอดอ่อน<br />30.มะกอกยอดอ่อน<br />31.เห็ด มีเห็ดละโงก เห็ดไค เห็ดถ่าน เห็ดดิน เห็ดน้ำหมาก เห็ดผึ้ง<br />32.หน่อไม้ เช่น ไผ่ไล่ ไผ่ป่า ไผ่ตง</span></div>freedomehttp://www.blogger.com/profile/14165654699321305735noreply@blogger.com0